ความเชื่อผิดๆ ขณะตั้งครรภ์

ความเชื่อผิดๆ ขณะตั้งครรภ์

ความเชื่อ: ขณะตั้งครรภ์ถ้าอยากให้ลูกมีผิวขาว ห้ามกินของดำ เช่น เฉาก๊วย โอเลี้ยง ช็อคโกแลต

ความจริง: ลักษณะผิวขาว หรือดำของทารกแรกเกิดนั้น ขึ้นอยู่กับการแสดงออกทางพันธุกรรม โดยยีนส์ที่ควบคุมการแสดงออกของเมลานิน หรือเม็ดสี ทำให้คนเราเกิดมามีสีผิวที่แตกต่างกัน แต่สิ่งแวดล้อมอาจมีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสีผิวได้เมื่อโตขึ้น เช่น การได้รับ รังสีอัลตราไวโอเลต สามารถทำให้ผิวดำขึ้น หรือ การใช้โลชั่นทาผิวที่มีสารไวท์เทนนิ่ง ก็ทำให้ผิวขาวขึ้นได้เล็กน้อย แต่การรับประทานเฉาก๊วย หรืออาหารที่มีสีดำนั้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสีผิวของทารกในครรภ์

ความเชื่อ: ดื่มน้ำมะพร้าวขณะตั้งครรภ์จะช่วยให้ลูกคลอดออกมาไม่มีไข่

ความจริง: ไขของทารกในครรภ์ (Vernix caseosa) ปกติพัฒนาการของทารกในครรภ์ช่วง 5 เดือนจะเริ่มมีการณ์สร้างไขขึ้นมา ซึ่งไขมีหน้าที่ช่วยให้ความชุมชื้นแก่ผิวทารก ป้องกันการเสียความร้อน ให้ทารกแรกเกิด มีผลป้องกันแบคทีเรียผ่านสู่ผิวทารก และยังเป็นตัวหล่อลื่นช่วยให้คลอดออกมาทางช่องคลอดได้ง่ายขึ้น ปกติแล้วเมื่ออายุครรภ์ครบกำหนดไขเหล่านี้จะลดน้อยลง  หากทารกคลอดก่อนกำหนดไขเหล่านี้จะค่อนข้างเยอะ  การดื่มน้ำมะพร้าว ซึ่งจริงๆแล้วน้ำมะพร้าวมีไขมันทั้งอิ่มตัวและไม่อิ่มตัว เมื่อดื่มน้ำมะพร้าวแล้วทำให้ไขสีขาวขึ้น แต่ไม่ได้ช่วยให้ไขลดน้อยลง

ความเชื่อ: ดื่มน้ำมะพร้าวขณะตั้งครรภ์จะทำให้แท้งบุตร

ความจริง: มีความเชื่อว่าดื่มน้ำมะพร้าวจะทำให้แท้งลูก เพราะในน้ำมะพร้าวมีฮอร์โมนเอสโตรเจน ในน้ำมะพร้าวมีฮอร์โมนเอสโตรเจนจริงแต่ในปริมาณที่น้อยมาก   ปกติในขณะตั้งครรภ์ฮอร์โมน เอสโตรเจน และโปรเจสเตอโรน ในร่างกายจะสูงมากอยู่แล้ว ในน้ำมะพร้าวมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จึงไม่มีผลต่อการบีบตัวมดลูกที่ทำให้แท้งบุตรได้

ความเชื่อ: ขณะตั้งครรภ์ห้ามมีเพศสัมพันธ์

ความจริง: ขณะตั้งครรภ์สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ตามปกติ ไม่มีผลให้เกิดความผิดปกติของทารกในครรภ์ อาจจะมีบางช่วงที่ควรลดการมีเพศสัมพันธ์ลง เช่นช่วงตั้งครรภ์ใหม่ๆ เนื่องจากคุณแม่ตั้งครรภ์ช่วงแรก อาจมีอาการแพ้ท้อง อ่อนเพลีย และช่วงใกล้คลอด ซึ่งจะรู้สึกอึดอัดเหนื่อยง่าย ถ้ามีเพศสัมพันธ์อาจจะยิ่งทำให้เนื่อยมากขึ้น  และควรเลือกท่วงท่าให้เหมาะสมในการมีเพศสัมพันธ์ อย่างไรก็ตามคุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีประวัติแท้งบ่อย คลอดก่อนกำหนด ควรหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ในช่วง 3 เดือนแรกและ 3 เดือนก่อนคลอด  งดการมีเพศมัมพันธ์หากมีอาการน้ำเดิน หรือรกเกาะต่ำ

ความเชื่อ: ยาบำรุงที่หมอให้ขณะตั้งครรภ์ทำให้อ้วน

ความจริง: ยาบำรุงที่ได้รับตอนฝากครรภ์จะเป็นพวกธาตุเหล็ก และวิตามิน ซึ่งมีผลดีต่อหญิงตั้งครรภ์ และทารกในครรภ์โดยตรง ช่วยให้การสร้างเม็ดเลือดแดงดีขึ้น ไม่เกี่ยวกับการทำให้อ้วน แต่ที่หญิงตั้งครรภ์อ้วนเกิดจากอิทธิพลของฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้น ทำให้เซลล์บวมน้ำ และคนท้องส่วนใหญ่เจริญอาหาร ทำให้รับประทานอาหารมากขึ้นอีกด้วย

ความเชื่อ: ขณะตั้งครรภ์น้ำหนักขึ้นเยอะเท่าไหร่ก็ได้ รับประทานอาหารได้เต็มที่

ความจริง: โดยปกติแล้วระหว่างตั้งครรภ์น้ำหนักควรเพิ่มตามเกณฑ์ดังนี้
ช่วงไตรมาสแรก น้ำหนักควรเพิ่มประมาณ 1 กิโลกรัม
ช่วงไตรมาสที่ 2 ควรเพิ่มประมาณ 4-5 กิโลกรัม
ช่วงไตรมาสที่ 3 ควรเพิ่มประมาณ 5-6 กิโลกรัม หรือควรเพิ่ม 10-12 กิโลกรัมตลอดการตั้งครรภ์ เพื่อป้องกันความเสี่ยงเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ความดันโลหิตสูง ซึ่งนำไปสู่ครรภ์เป็นพิษ จึงควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงขนมหวานต่างๆ

ความเชื่อ: ขณะตั้งครรภ์ห้ามออกกำลังกาย

ความจริง: การออกกำลังกายขณะตั้งครรภ์ สามารถช่วยส่งเสริมบุคลิก ท่าทางของผู้หญิงตั้งครรภ์ ลดอาการปวดหลัง ความเหนื่อยล้า รวมทั้งความเครียดได้ และยังมีหลักฐานว่าการออกกำลังกายระหว่างตั้งครรภ์ช่วยป้องกันการเป็นเบาหวานในผู้หญิงตั้งครรภ์อีกด้วย

ปกติหากออกกำลังกายอยู่แล้วก่อนตั้งครรภ์ ขณะตั้งครรภ์ก็ยังสามารถออกกำลังกายได้ในระดับความหนักปานกลาง เช่นการเดินเร็ว ว่ายน้ำอย่างต่อเนื่อง หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่อาจเกิดแรงปะทะ หรืออุบัติเหตุได้ง่าย

แต่ถ้าไม่เคยออกกำลังกายมาก่อน ควรปรึกษาแพทย์ หรือออกกำลังกายที่ออกแบบเฉพาะสำหรับผู้หญิงตั้งครรภ์ และการออกกำลังกายควรเริ่มหลังอายุครรภ์ 14 สัปดาห์ไปแล้ว

ความเชื่อ: การใช้เข็มกลัดติดเสื้อบริเวณสะดือเพื่อป้องกันให้ทารกในครรภ์ปลอดภัยจากภูตผี

ความจริง:เป็นเรื่องของความเชื่อส่วนบุคคล ระหว่างตั้งครรภ์มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างทั้งทางร่างกายและจิตใจ ทำให้เกิดความวิตกกังวลมากมาย ซึ่งกุสโลบายต่างๆ เหล่านี้มีขึ้นมาเพื่อให้หญิงตั้งครรภ์สบายใจขึ้น ซึ่งหากจะปฏิบัติก็ไม่ถือว่าผิด แต่ควรระวังเข็มตำเท่านั้นเอง หรือตัวอย่างไม่ให้หญิงตั้งครรภ์ไปงานศพ ก็เพื่อไม่ให้เกิดความหดหู่ทางจิตใจ ซึ่งจะมีผลต่อการตั้งครรภ์โดยรวม

แหล่งที่มา: 
Privacy Settings